การออกแบบเครื่องประดับ : Jewelry Design (ตอนที่ 2)
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอเรื่องประดับในยุคต่างๆ กันไปแล้ว ในอาทิตย์นี้เราจะขอนำเสนอเครื่องประดับในช่วงศตวรรษต่างๆ มาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเพิ่มเติม
ช่วงศตวรรษที่ 13 เครื่องประดับทองล้วนหรือเงินล้วน มีบทบาทน้อย และมีข้อห้ามในการใช้ทองคำกับ
Semi - Precious และเครื่องเงินไม่ใช้กับอัญมณีแท้ และในฝรั่งเศสมีกฎห้ามคนธรรมดาใส่เครื่องประดับที่ประดับด้วยหินมีค่า มุก หรือทอง เป็นยุคที่ถือได้ว่าเครื่องประดับเป็นสัญลักษณ์พิเศษของคนพิเศษเท่านั้น เครื่องประดับจะถูกออกแบบให้ใช้กันในราชสำนักโดยเฉพาะ หรือใช้ในงานที่เป็นทางการเท่านั้น ไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ศตวรรษที่ 14 - 15 ศิลปะแบบโกธิค (Gothic) เข้ามามีบทบาทปกคลุมทั่วทั้งยุโรป จากโปรตุเกส ถึงฟินแลน ลักษณะงานมีการตกแต่งประดับประดามากขึ้น ที่เด่นชัดคือทรงโค้งที่มีมุมแหม มีการตั้งกฎเกณฑ์และยอมรับกันทั่วไป ทำให้เกิดมาตรฐานในการผลิตชิ้นงานหรือที่เรียกกันว่า Hallmarking เช่นการกำหนดทองคำมีน้ำหนักเท่าใด ใช้วัสดุใด เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกเอาเปรียบ
ศตวรรษที่ 14 ช่างทองทำงานเพื่อราชสำนักโดยเฉพาะ และกษัตริย์เป็นผู้มีบทบาทในการอุปถัมภ์ ชิ้นงานมีความสง่างามและหรูหรามมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วยุคนี้เป็นยุคแห่งความซับซ้อนของชนชั้นในสังคม และทำให้สังคมเกิดความแตกต่างหลายรูปแบบ ซึ่งราชสำนักแต่ละแห่งก็มีรูปแบบตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน ในยุคนี้เริ่มมีการค้นพบวิธีการเจียระไนอัญมณี เช่นไพลิน และทับทิม
ศตวรรษที่ 15 European Lapidaries ได้พัฒนาการเจียระไนขึ้นโดยความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากชาวอินเดีย ซึ้งตัดเพชรด้วยเศษเพชรแตกๆ และนอกจากนี้เสื้อคอลึกในสมัยนั้นแป็นแฟชั่นที่นิยมกันมาก สร้อยที่นิยมสวมใส่กันมีลักษณะเป็นสายห้อยระโยงระยาง มีการใช้ล็อกเก็ตกันมาก รวมถึงจี้ประดับอัญมณี ซึ่งปลายศตวรรษที่ 15 เสื้อผ้าที่นิยมใช้จะรัดรูปมากขึ้น และ เครื่องประดับถูกตัดเย็บติดกับเสื้อผ้าแทนการสวมใส่อีกด้วย
ศตวรรษที่ 16 ยุคเรอเนสซองค์ (Renaissance) นี้เครื่องประดับเป้นศิลปะที่ถึงขั้นสุดยอด เนื่องจากช่างได้ผสมผสานความรู้ชนิดต่างๆ เข้าด้วยกัน การประดับอัญมณีบนตัวเรือนเป็นเพียงส่วนที่ทำขึ้นเพื่อให้อัญมณีได้แสดงถึงคุณค่าและความสวยงามในตัว ช่างทองจะมีการทำเครื่องประดับโดยเน้นการลงยา และนำอัญมณีเข้ามาใช้ในการทำเครื่องประดับ มีการนำเพชร และอัญมณีต่างๆ มาจากอินเดีย ซึ่งเพชรจะอยู่ในรูปของเพชรดิบที่มีรูปผลึกตามธรรมชาติ
ศตวรรษที่ 17 บาร็อค (Baroque) หมายถึง ความเกินพอดี เป็นคำที่มนุษย์ในยุคศตวรรษที่ 18 พูดถึงงานศิลปะตกแต่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 และในศตวรรษนี้เครื่องประดับมีการจำกัดรูปแบบ เนื่องจากการเกิดสงครามครูเสด เครื่องประดับที่โดดเด่นในศตวรรษนี้ได้แก่ นาฬิกาแขวน และล็อคเก็ต ที่นับว่าเป็นของเล่นของเศรษฐี ซึ่งในยุคนั้นจะมีการนำ ดอกไม้ พืช ผัก มาทำเป็นลวดลายของเครื่องประดับ
ศตวรรษที่ 18 ยุคร็อคโคโค (Rococo) เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงของเครื่องประดับ เครื่องประดับมีสีสันที่สวยกว่าเพชรและกลายมาเป็น Neo Classic Style ในช่วงปี 1770 ยุคนี้ในฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงอุปถัมภ์ช่างเครื่องประดับด้วยความหลงไหลเป็นส่วนตัว ซึ่งรูปแบบของเครื่องประดับจะเน้นการประดับอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนอย่างสวยงาม
ศตวรรษที่ 19 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ฝรั่งเศสตกอยู่ในยุคเสื่อม เครื่องประดับถูกทำขึ้นสำหรับชายเพื่อเป็นของที่ละลึก มีการผลิตชิ้นงานที่เน้นผลงานรูปร่างความสวยงามมารกว่าคุณค่าของราคาวัสดุที่ใช้ มีการใช้อัญมณีทุกสีสัน โดยมีการใช้เทคนิคทั้งเก่าและใหม่ผสมผวสานกันจะได้งานที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นยุคประหยัด เกิดศิลปะแนว Art Deco ขึ้น ซึ่งเป็นรูปทรงเรขาคณิต Contemporary Art - Cubism & Abstract เช่น Bauhaus เน้นไปในทางศิลปะร่วมสมัย รูปแบบสวย เรียบ สะอาด ตรงไปตรงมามีสัดส่วนแน่นอน รูปทรงเรขาคณิตเข้ามามีบทบาทในเครื่องประดับ นำ Semi Precious Stones มาใช้ เน้นแง่มุมของการผสมผสานของสีสัน ทำให้เกิดองค์ประกอบใหม่ ใช้โอนิกซฺและการลงยา มีการใช้โลหะแพลทินัม