แนะทยอยลงทุนทองคำ รับแนวโน้มขาขึ้นปีหน้า
ส่วนหุ้นอาจต้องระมัดระวัง เพราะปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินที่ไม่สามารถช่วยด้วยการลดดอกเบี้ย แต่จุดเด่นคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบใหม่ปี 2566 ดังนั้น น่าจะเป็นการลงทุนตลาดหุ้นของทวีปที่เน้นอุตสาหกรรมและบริการเป็นหลัก โดยกระจายการลงทุนมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ญี่ปุ่น และยุโรป
ในแง่ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น จะเห็นราคาทองซึม ต้องรอจังหวะปรับฐานหรือสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่มองว่า ราคาทองยังไม่เกิน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนสินทรัพย์อื่น สินค้าเกษตร เช่น ฝ้าย กาแฟ น้ำตาล ราคาปรับตัวขึ้น 40-50% มีแนวโน้มไปได้ต่อช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นเช่นเดียวกันกับสินแร่
ด้านราคาน้ำมันดิบปีนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 58% จากต้นปีอยู่ที่ 49.43 ดอลลาร์ต่อบาเรล ปรับเป็น 76.67ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ และมีโอกาสอัพไซส์ที่ 80 ดอลลาร์/บาเรล ทำให้น้ำมันและสินแร่ยังเหมาะการลงทุน แม้ว่าช่วงนี้นักลงทุนจะเข้ามาไม่มาก เนื่องจากติดภาพจากปีก่อนที่ล็อกดาวน์ ราคาน้ำมันปรับลด ทำให้นักลงทุนยังไม่มั่นใจ ส่วนแก๊สธรรมชาติราคาปรับขึ้น 125% ซึ่งแพงเกินไป ซึ่งแนวโน้มอนาคตทางการอาจจะควบคุมราคา
นอกจากนี้บิทคอยน์ ยังคงติดเทรนด์เก็งกำไรในปีนี้ ซึ่งต้นปีราคาบิทคอยน์ปรับขึ้นมา 90% ราคาเพิ่มเกือบเท่าตัว แต่ระหว่างปีราคาจะบวกขึ้นถึง 120% หลังจากนั้นปรับตัวลงตลอด สะท้อนความผันผวนสูงมาก นักลงทุนต้องเตรียมใจว่า เงินลงทุน 100 บาทมีความเป็นไปได้สูงที่เงินลงทุนจะลดเหลือ 10-20 บาท เพราะฉะนั้นในมุมการลงทุนไม่น่าสนใจ ไม่คุ้ม
เทรนด์ตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้บิตคอยน์ยังเป็นสินทรัพย์เก็งกำไรในไตรมาส 4 แต่ความเสี่ยงหลัก อนาคตตลาดคาดการณ์ว่า ปี 2565 จะมีควอนตัม คอมพิวเตอร์ Quantum Computer หรือซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (เทคโนโลยีที่จะวิ่งทันบิทคอยน์) โดยปัจจุบันธุรกิจที่ฮิตคือ การทำฟาร์ม ปล่อยสภาพคล่องและได้ดอกเบี้ยจากการลงทุน
ส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนที่โดดเด่นช่วงนี้ คือ ดอลลาร์เทียบเงินบาท แข็งค่า 13% แนวโน้มดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงได้ไตรมาส 4 ขึ้นอยู่กับการเมือง แต่การเมืองสหรัฐจะกดดันดอลลาร์และกดดันตลาดเงินตลาดทุนด้วย จึงอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าไม่ชัดเจน เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งขายหุ้นมาลงในดอลลาร์
นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงไตรมาส 4 ราคาทองปรับลดลง 170 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่กองทุนใหญ่หันไปลงทุนน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนที่ราคาปรับเพิ่มค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาทองคำยังผันผวนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28,000 บาทต่อบาททองคำ
“กำลังซื้อในประเทศที่ลดลง จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ต่อเนื่องมาถึงปัญหาโควิด-19 และขณะนี้มาเจอเรื่องน้ำท่วมอีก ทั้งๆที่ราคาทองคำลดลง แต่กำลังซื้อแผ่ว จึงทำให้ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี ราคาทองจะไม่ค่อยขยับ แต่จากต้นปีราคาทองลดลงจาก 1,900 เป็น 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำในประเทศ 28,100 บาท แนวโน้มช่วงที่เหลือ น่าจะเห็นการปรับลดลงได้อีก จึงเหมาะจะซื้อในช่วงสั้นๆ” นายจิตติกล่าว